ระบบกระดูก (the skeletal system) เป็นระบบที่ประกอบด้วย กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ และเอ็นเชื่อมกระดูก กระดูกนับเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย กระดูกในร่างกายมีรูปร่างต่าง ๆ กันแต่มีส่วนประกอบและความแข็งแรงทนทานเหมือน ๆ กัน กระดูกแต่ละท่อนหรือแต่ละข้อจะเชื่อมต่อกันด้วยเอ็นเชื่อมกระดูกบริเวณข้อต่อ ซึ่งจะช่วยให้กระดูกยืดหยุ่นและทำให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวได้สะดวก การบำรุงรักษากระดูกให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง และการฝึกหัดท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกอิริยาบถให้ถูกต้อง จะช่วยให้มีโครงร่างและบุคลิกภาพที่ดี
![](https://sites.google.com/site/30289pornpimol/_/rsrc/1472847354332/rabb-tang-khxng-rangkay/Untitled4_1_0.jpg)
ลักษณะโครงกระดูกด้านหน้าและด้านหลัง
1.กระดูก
กระดูก (bone) ในร่างกายเราระยะแรกจะเจริญในรูปของกระดูกอ่อน เมื่อมีอายุมากขึ้นกระดูกอ่อนจะเปลี่ยนเป็นกระดูกที่แข็งแกร่งรองรับน้ำหนักได้มากขึ้น ยกเว้นบางส่วนที่ยังคงเป็นกระดูกอ่อน เช่น ใบหู ปลายจมูก หลอดลม ในเด็กแรกเกิดจะมีกระดูกมากถึง 350 ชิ้น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่กระดูกบางส่วนจะเชื่อมติดกันเหลือเพียง 206 ชิ้น ซึ่งสามารถจำแนกกระดูกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
กระดูกแกน (Axial skeleton) คือ กระดูกที่เป็นแกนกลางของลำตัวมีอยู่ 80 ชิ้น ประกอบด้วยกะโหลกศีรษะ 29 ชิ้น มีหน้าที่ห่อหุ้มและสมอง กระดูกสันหลัง 26 ชิ้น เป็นส่วนของกระดูกแกนที่ช่วยค้ำจุนและรองรับน้ำหนักของร่างกาย และกระดูกทรวงอก ซึ่งประกอบด้วยกระดูกหน้าอก 1 ชิ้น และกระดูกซี่โครงอีก 12 คู่ ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยในการหายใจและป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะที่อยู่ภายใน เช่น ปอด หัวใจ และอวัยวะอื่น
กระดูกรยางค์ (appendicle skeleton) คือ กระดูกที่นอกเหนือไปจากกระดูกลำตัวมีอยู่ 126 ชิ้น ประกอบด้วยกระดูกแขน 64 ชิ้น กระดูกขา 62 ชิ้น กระดูกแขนจะทำหน้าที่เป็นฐานเชื่อมโยงกับกระดูกส่วนอื่นๆ ส่วนกระดูกขาซึ่งเป็นกระดูกที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงมากจะทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกาย
- ชนิดของกระดูก
กระดูกคนเราจะมีลักษณะและรูปร่างต่างๆ กันไป แยกตามรูปร่างที่ปรากฏได้ 4 ชนิด คือ
1. กระดูกยาว (long bones) พบได้ที่กระดูกต้นแขน แขนท่อนปลาย ต้นขา และขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า นิ้วมือ และนิ้วเท้า เป็นกระดูกยาวขนาดเล็ก ในส่วนลำของกระดูกยาวเรียงตัวกันเป็นรูปทรงกระบอก ตรงกลางเป็นโพรง ที่ขอบๆ กระดูกเป็นเนื้อแน่นปลายของกระดูกยาวมักโตกว่าส่วนลำ มีกระดูกเนื้อแน่นบางๆ อยู่ที่ขอบ ภายในเป็นกระดูกชิ้นเล็กๆ ติดต่อกันคล้ายฟองน้ำเรียกว่า กระดูกพรุน กระดูกพรุนชนิดนี้มีไว้สำหรับรับน้ำหนักของร่างกายและเคลื่อนไหวมากกว่ากระดูกชิ้นอื่นๆ ซึ่งมีทั้งหมด 90 ชิ้น
2. กระดูกสั้น (short bones) มีอยู่ตามร่างกายส่วนที่แข็งแรงสำหรับออกแรงเมื่อเวลาทำงานที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมาก ได้แก่ กระดูกข้อมือ และข้อเท้า กระดูกเหล่านี้เป็นท่อนสั้นๆ ไม่มีส่นลำแต่จะมีกระดูกเนื้อแน่นบางๆ อยู่ที่ขอบภายในเป็นกระดูกฟองน้ำ กระดูกสั้นมีทั้งหมด 30 ชิ้น
3. กระดูกแบน (flat bones) มีลักษณะเป็นแผ่นแบนกว้างออกไป ประกอบด้วยกระดูกเนื้อแน่น 2 แผ่นเชื่อมติดกัน ภายในเป็นกระดูกพรุน กระดูกชนิดนี้จะช่วยป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตรายง่าย ได้แก่ กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกสะบัก กระดูกหน้าอกและกระดูกเชิงกราน กระดูกแบนมีทั้งหมด 40 ชิ้น
4. กระดูกที่มีรูปร่างไม่แน่นอน (irregular bones) หรือมีรูปร่างแปลกๆ ได่แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ กระดูกขากรรไกร กระดูกโคนลิ้น กระดูกหู ฯลฯ กระดูกชนิดนี้มีแง่ มีเหลี่ยมหรือช่องโค้งไปมามากเพื่อให้เหมาะกับการประกอบเข้าได้กับกระดูกชิ้นอื่นที่เป็นโครงร่างของร่างกาย กระดูกชนิดนี้มีทั้งหมด 46 ชิ้น
- การแบ่งกระดูกจากส่วนประกอบ
การแบ่งกระดูกจากส่วนประกอบจะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. ส่วนที่มีชีวิต ได้แก่ เซลล์กระดูก เนื้อเยื่อยึดเหนี่ยว เนื้อเยื่อประสาท และหลอดเลือดเป็นส่วนที่ทำให้กระดูกเหนียวแน่น ทนทาน ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย
2. ส่วนที่ไม่มีชีวิต ได้แก่ สารประกอบพวกแคลเซียมคาร์บอเน็ต และแคลเซียมฟอสเฟตแร่ธาตุเหล่านี้สามารถละลายไปสู่เลือดได้เมื่อร่างกายต้องการ กระดูกจึงเป็นแหล่งสะสมธาตุแคลเซียมแร่ธาตุเหล่านี้เป็นส่วนที่ทำให้กระดูกแข็งแรง ส่วนประกอบของกระดูกทั้งสองส่วนเมื่อประกอบกันเข้าจึงทำให้กระดูกของคนเราแข็งแรง เหนียวแน่น ทนทาน ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย
- ลักษณะของกระดูก
กระดูกเกือบทุกชนิดในสัตว์หรือในตัวมนุษย์ มีลักษณะดังนี้
1. ส่วนที่ถูไถกับกระดูกอื่นจะเป็นส่วนที่เรียกว่า ด้านข้อต่อ จะมีกระดูกอ่อนและน้ำไขข้อจะช่วยลดการเสียดของกระดูกขณะเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้กระดูกเคลื่อยไหวที่ข้อต่อได้สะดวก ยกเว้นกระดูกแบนจะไม่มีกระดูกอ่อนคลุม เช่น กระดูกด้านบนของกะโหลกศีรษะ ซึ่งมีขอบขรุขระ และยึดกันด้วยพังผืด
2. ภายในท่อนกระดูก หรือที่เรียกว่า ส่วนลำของกระดูก จะปรากฏลักษณะของเนื้อเยื่อกระดูก 2 ชนิด คือ
![](https://sites.google.com/site/30289pornpimol/_/rsrc/1472847354322/rabb-tang-khxng-rangkay/08_clip_image001_0001.jpg)
ลักษณะภายในและภายนอกของกระดูก
กระดูกทึบและกระดูกพรุนกระดูกทึบ(com-pact bone)เป็นส่วนที่ติดกับเยื้อเยื่อหุ้มกระดูก ทำหน้าที่คล้ายฝาผนัง มีความแข็งแรง ช่วยในการพยุงรับน้ำหนัก ลักษณะภายในจะเห็นเป็นวงซ้อนกันเป็นชั้นๆมีช่องว่างตรงกลางวงเพื่อให้เส้นเลือดนำอาหารผ่านเข้าไปเลี้ยงเซลล์ได้
กระดูกพรุน(spongy bone)เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากกระดูกทึบเข้าไปช่องว่างอยู่มากคล้ายฟองน้ำ เรียกช่องว่างนี้ว่า โพรงกระดูก(medullary cavity)ภายในโพรงกระดูกจะมี ไขกระดูก(morrow)บรรจุอยู่ ซึ่งไขกระดูกนี้จะทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดต่างๆรวมทั้งเกล็ดเลือดให้กับร่างกาย
3. ส่วนของกระดูกทั้งหมด ยกเว้นด้านข้อต่อจะมีเยื่อบางๆห่อหุ้ม เรียกว่า เยื่อหุ้มกระดูก(bone covering)ระหว่างเนื้อเยื่อยึดเหนี่ยว และไขกระดูกก็จะมีเยื่อบางๆนี้บุคั่นไว้เช่นเดียวกัน เยื่อนี้ทำหน้าที่สร้างเซลล์กระดูกใหม่เพื่อทดแทนเซลล์กระดูกส่วนที่ตายไปและเพิ่มเซลล์กระดูกให้มากขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตของกระดูก หรือซ่อมแซมในกรณีที่กระดูกหัก
2.กระดูกอ่อน
กระดูกอ่อน (cartilage) จัดเป็นเนื้อเยื่อยึดเหนี่ยวชนิดนึง ซึ่งสารระหว่างเซลล์เหนียวหนืดมีหน้าที่รองรับเนื้อเยื่ออ่อนๆและช่วยทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น กระดูกอ่อนไม่แข็งแรงเท่ากระดูก เพราะไม่มีแร่ธาตุ แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่ากระดูก มีเยื่อหุ้มกระดูกอ่อนเช่นเดียวกับกระดูก
กระดูกอ่อนแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1.กระดูกอ่อนขาว ปรากฏเป็นสีขาวปนสีน้ำเงิน พบได้ที่ด้านข้อต่อของกระดูก กระดูกอ่อนซี่โครง กระดูกอ่อนออกเสียง และกระดูกอ่อนหลอดลม
2.กระดูกอ่อนยืดหยุ่น สีค่อนข้างเหลือง ยืดหยุ่นได้มาก เพราะมีเส้นใยมาก พบได้ที่กระดูกอ่อนใบหู และฝาปิดกล่องเสียง
3.กระดูกอ่อนผังพืด มีเส้นใยผังพืดมาก พบได้ที่หมอนรองกระดูกสันหลัง และข้อต่อหัวหน่าว
3.ข้อต่อและเอ็นเชื่อมกระดูก
ข้อต่อ (joint) เกิดจากกระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไปที่อยู่ใกล้กันมาเชื่อมหรือต่อกัน โดยมีเอ็นและกล้ามเนื้อช่วยยึดเสริมความแข็งแรงให้แก่ข้อต่อ ทำให้โครงกระดูกยืดหยุ่นส่วนต่างๆของร่างกายเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกเนื่องจากกระดูกที่มาต่อกันนั้นอยู่ในลักษณะต่างๆกัน ข้อต่อต่างๆในร่างกายจึงแตกต่างกันทั้งรูปร่าง ลักษณะและหน้าที่ทำให้แยกประเภทของข้อต่อได้ดังนี้
1.ข่อต่อเอ็น เป็นข้อต่อที่ยึดกันด้วยเอ็นผังพืดขาว ได้แก่ ข้อต่อระหว่างกระดูกกะโหลกศีรษะส่วนบน ข้อต่อชนิดนี้จะไม่มีการเคลื่อนไหวเลย
![](https://sites.google.com/site/30289pornpimol/_/rsrc/1472847354616/rabb-tang-khxng-rangkay/download%20%281%29.jpg)
ลักษณะของข้อต่อเอ็น
2.ข้อต่อกระดูกอ่อน เป็นข้อต่อที่เชื่อมกันด้วยกระดูกอ่อนและมีเอ็นช่วยเสริมด้วยทำให้สามารถเคลื่อนไหวเล็กน้อย ได้แก่ ข้อระหว่างกระดูกอ่อนซี่โครงซี่ที่ 1 กับการกระดูกหน้าอกและข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลัง
3.ข้อต่อซินโนวียล เป็นข้อต่อที่พบมากในร่างกายเรา ด้านข้อต่อของกระดูกคลุมด้วยกระดูกอ่อนขาวหรือกระดูกอ่อนพังผืดทำให้เคลื่อนไหวได้คล่อง มีเอ็นรอบข้อ ชั้นนอกเป็นเยื่อพังผืดสีขาว ชั้นในเป็นเยื่อซินโนเวียล ซึ่งเป็นที่สร้างน้ำไขข้อสำหรับช่วยในการหล่อลื่น เพราะกระดูกมีการเสียดสีอยู่เป็นเวลานาน และยังทำหน้าที่นำอาหารจากหลอดเลือดมาสู่กระดูกอ่อนที่คลุมปลายกระดูกด้วย
ข้อต่อซินโนเวียลนี้มีโพรงข้อ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน และมีผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะที่แตกต่างกันด้วย ดังนี้
1) ข้อที่เคลื่อนไหวได้ทิศทางเดียว เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อระหว่างกระดูกนิ้วมือและข้อต่อระหว่างกระดูกนิ้วเท้า และข้อต่อระหว่างนิ้วเท้า เคลื่อนไหวได้เพียงแต่งอเข้าหรือยืดออกเหมือนบานพับ
2) ข้อที่เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง คือ ข้อต่อที่กระดูกข้อมือต่อกับฝ่ามือของนิ้วมือของนิ้วหัวแม่มือมีลักษณะเหมือนอานม้า ซึ่งปลายกระดูกข้างหนึ่งเว้า และปลายกระดูกอีกข้างหนึ่งนูนรับกัน จึงเคลื่อนไหวได้ 2 แบบ คือ การงอเข้ายืดออก และการหมุน ซึ่งจะดำเนินไปพร้อมกันทำให้เราสามารถงอนิ้วหัวแม่มือมาสู่ฝ่ามือในการกำของได้
ลักษณะของข้อต่อซินโนเวียล
3) ข้อที่เคลื่อนไหวหลายทิศทาง ซึ่งมีหลายลักษณะ เช่น ลักษณะของข้อที่เชือมกันเกิดจากปลายกระดูกข้างหนึ่งมีหัวกลมเข้าไปในเบ้าของกระดูกอีกข้างหนึ่งมีลักษณะคล้ายลูกบอลทำให้เคลื่อนไหวได้ทุกทิศทางรวมทั้งการหมุนด้วย ซึ่งได้แก่ ข้อไหล่ ข้อสะโพก และลักษณะของข้อที่ทำให้กระดูกชิ้นหนึ่งเคลื่อนที่ไปรอบๆ แกนของกระดูกอีกชิ้นหนึ่ง จะสวมกันอยู่คล้ายเดือยทำให้เคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง เช่น กระดูกต้นคอ กระดูกสันหนัง
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในระบบกระดูกก็คือ เอ็นเชื่อมกระดูก (ligament) ซึ่งช่วยยึดกระดูกให้ต่อกันตรงข้อต่อ เอ็นเชื่อมกระดูกเป็นเนื้อเยื่อยึดเหนี่ยวที่มีความทนทาน แต่บางครั้งถ้ามีการบิดหรือดึงข้อตรงข้อแรงๆก็อาจทำให้ข้อเคล็ดได้
- หน้าที่ของระบบกระดูก
หน้าที่ของระบบกระดูก มีดังนี้
1. เป็นโครงสร้างของร่างกาย ช่วยค้ำจุนและรองรับน้ำหนักทำให้ร่างกายทรงรูปร่างอยู่ได้
2. ช่วยยกและพยุงอวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่น ลำไส้ มดลูก
3. ป้องกันอวัยวะภายในร่างกายไม่ให้เป็นอันตรายเคลื่อนไหวได้
4. เป็นที่เกาะยึดของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้
5. เป็นแหล่งที่สร้างเม็ดเลือด เกล็ดเลือด และเก็บธาตุแคลเซียมของร่างกาย
- การเจริญเติบโตของกระดูก
กระดูกต่างๆ ในร่างกายของคนเรานั้น จะเริ่มเจริญเป็นกระดูกอ่อนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เมื่อคลอดออกมาและร่างกายเจริญเติบโตขึ้น กระดูกอ่อนจะค่อยๆ แข็งตัวขึ้น โดยรับเอาแร่ธาตุต่างๆ เข้าไปสะสมทำให้กระดูกแข็ง การเจริญเติบโตของกระดูกจะเริ่มที่จุดศูนย์กลางบริเวณตอนกลางของแกลนกระดูก แล้วขยายออกไปทั้ง 2 ข้าง ทำให้กระดูก ยืดยาวออกไป ในเพศชายการเจริญเติบโตของกระดูกจะมีมากในช่วงอายุระหว่าง 18-21 ปีโดยฮอร์โมนจากอัณฑะเป็นตัวกระตุ้น ส่วนในเพศหญิงจะมีมากในช่วงอายุระหว่าง 16-18 ปี โดยมีฮอร์โมนจากรังไข่เป็นตัวกระตุ้น และกระดูกจะเจริญจนถึงวัยประมาณ 25 ปี ก็จะหยุดการเจริญเติบโต
![](https://sites.google.com/site/30289pornpimol/_/rsrc/1472847354486/rabb-tang-khxng-rangkay/08_clip_image001_0000.jpg)
ลักษณะการเจริญเติบโตของกระดูก
- การบำรุงรักษาระบบกระดูก
กระดูกมีความสำคัญต่อร่างกายของเรามากมายดังได้กล่าวไปแล้ว ดังนี้จึงควรบำรุงรักษากระดูกให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง หากเราเริ่มดูแลกระดูกอย่างถูกวิธีตั้แต่วันนี้จะช่วยให้มีกระดูกที่แข็งแรงในช่วงวัยต่อๆไปของชีวิตในทางตรงกันข้ามหากเราไม่รู้จักถนอมดูแลแล้ว เราก็อาจเจ็บป่วยด้วยโรคกระดูกและข้อต่างๆได้ เช่น ข้อเสื่อมในผู้สูงอายุ รากประสาทถูกกดทับจากความผิดปกติของกระดูกสันหลังในคนที่แบกของหนักอย่างผิดวิธี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น